ที่มาของโครงการฯ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามอย่างหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งได้รับการจัดลำดับไว้ในลำดับที่ 9 ของประเทศที่ได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศที่รุนแรงในระหว่างปี 2536 ถึง 2555 ถึงแม้ว่าประเทศไทยได้พยายามลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังคงเป็นประเทศที่ปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณมากถึง 327 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าในปี 2556 จัดเป็นลำดับที่ 19 ของโลก
ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันในอนุสัญญาสตอกโฮล์ม ว่าด้วยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2548 การปลดปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน หรือ Persistent Organic Pollutants (POPs) ในประเทศไทยนั้น ได้มีรายงานจาก Greenpeace International เกี่ยวกับการปลดปล่อยสาร POPs จากภาคอุตสาหกรรม และสารเคมีอื่นๆ ที่เป็นภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ซึ่งเป็นการขับเน้นให้เห็นความรุนแรงของสถานการณ์ในปัจจุบัน นอกจากนี้ผลการศึกษาที่ได้จากการเก็บตัวอย่างน้ำผิวดินจำนวน 300 ตัวอย่าง ในพื้นที่ 31 แห่ง ตลอดแม่น้ำเจ้าพระยา ยังพบว่าในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่อุตสาหกรรมและมีประชากรหนานแน่นมีค่าความเข้มข้นของสาร PFOS ในปริมาณที่สูงกว่า
เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินการแก้ไขปัญหาทั้งเรื่องของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน รัฐบาลไทยโดยหน่วยงานที่รับผิดขอบหลัก คือ กรมโรงงานอุตสาหกรรม และหน่วยร่วมในโครงการอื่นๆ จึงได้ขอรับการสนับสนุนเงินสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก เพื่อใช้แนวคิดในการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การประยุกต์ใช้เทคนโนโลยีคาร์บอนต่ำ การใช้สารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่าภาคอุตสาหกรรม และระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชน ภายใต้ทิศทางการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจัดการสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานอย่างเหมาะสม
มีหน่วยงานใดร่วมดำเนินโครงการฯ บ้าง?
กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมควบคุมมลพิษ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้ร่วมกันดำเนินโครงการการประยุกต์ใช้หลักการเอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชน และการใช้สารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทยที่มุ่งสู่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเลิกใช้สารมลพิษที่ตกค้างยาวนาน โดยโครงการนี้ได้รับทุนสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อมโลก และบริหารโครงการโดยองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ พร้อมกับมีหน่วยงานจากภาคเอกชนเข้าร่วมในโครงการประกอบด้วย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที แอลเอ็นจี จำกัด บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด
วัตถุประสงค์โครงการฯ
โครงการฯ มีวัตถุประสงค์ที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงการปล่อยสารมลพิษที่ตกค้างยาวนานและสารเคมีอื่นๆ ที่เป็นอันตราย จากภาคอุตสาหกรรมและชุมชนเมือง โดยการประยุกต์ใช้หลักการเอื้อประโยชน์ร่วมกันระหว่างอุตสาหกรรมและชุมชน และการใช้สารเคมีอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม